TikTok ลบวิดีโอทิ้งกว่า 49 ล้านคลิป

TikTok ลบวิดีโอทิ้งกว่า 49 ล้านคลิป

มีรายงานว่าแอพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง TikTok ได้ประกาศลบคลิปวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง และข้อความที่สร้างความเกลียดชังกว่า 49 ล้านคลิป เมื่อช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1% ของจำนวนคลิปวิดีโอทั้งหมด ซึ่งจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในอินเดีย สหรัฐอเมริกา และปากีสถาน

แอปพลิเคชัน TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยบริษัท ByteDance ของประเทศจีน 

ที่เติบโตต่อจากจากแอปพลิเคชัน Douyin ที่ให้บริการจีนไปก่อนหน้านี้  ป้จจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานกว่า 800 ล้านบัญชีทั่วโลก โดยอินเดียเป็นประเทศที่มียอดดาวน์โหลด TikTok มากที่สุดในโลกกว่า 466 ล้านครั้ง รองลงมาคือสหรัฐอเมริกา และจีน

ต่อมาทางทางอินเดีย ก็ได้แบนแอพ Tiktok โดยมองว่าอาจส่งผลถึงความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว อาจถูกคุกคามจากแอพลิเคชั่นดังกล่าวได้ นอกจากนี้อินเดียยังแบนแอพอื่นๆ ของจีนถึง 59 รายการ ทางด้านประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็ได้พิจารณาจะแบนแอป  TikTok ด้วยปัญหาความมั่นคง ความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน หลังจากที่ TikTok ต้องหยุดบริการในฮ่องกง ตามกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่

มีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศไอวอรีโคสต์ อามาดู กอน คูลิบาลี วัย 61 ปี ถึงแก่อสัญกรรมอย่างกะทันหันเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 8 ก.ค. 2563 หลังเขาเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบประธานาธิบดี ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของนายคูลิบาลียังไม่มีการเปิดเผย แต่จากประวัติ เขาเพิ่งกลับมาจากประเทศฝรั่งเศส หลังเข้ารับการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลในกรุงปารีส และได้พักผ่อนตามคำสั่งแพทย์หลายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม นายคูลิบาลี เพิ่งได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรครัฐบาล ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้

ทั้งนี้หลังเจ้าตัวโพสต์ออกไปก็เขาลบโพสต์นี้ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามโพสต์ของเขาได้สร้างความแตกตื่นให้กับเพื่อนและบุคคลใกล้ชิดเป็นอย่างมาก ซึ่งหนึ่งของคนรู้จักของผู้ต้องหาเป็นทหาร และนำไปสู่การทำความสะอาดห้องพักและทำให้การฝึกซ้อมถูกรบกวน ด้าน อัยการ ไม่ได้โต้แย้งคำตัดสินนี้ เนื่องจากเขามองว่าเป็นการตัดสินที่ถูกต้องแล้ว

นอกเหนือไปจากทั้ง 4 ประเทศแล้ว ในเวลานี้ก็ยังคงมีอีกหลายประเทศที่เริ่มส่งสัญญาณที่จะเข้าร่วมการบอยคอตในครั้งนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ ญี่ปุ่น ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ขณะที่บางประเทศก็ได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานเนื่องด้วยเหตุผลอื่น เช่น นิวซีแลนด์ที่ให้เหตุผลถึงการความกังวลต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงต่อเนื่อง ทั้งนี้แล้วนั้น นิวเซีแลนด์ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ก็แสดงความกังวลต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนในจีนด้วยเช่นกัน

เฝ้าระวัง! ‘โรคปอดบวมปริศนา’ ระบาดในคาซัคสถาน

สถานทูตจีนฯ เตือน ระวัง ‘โรคปอดบวมไม่ทราบแหล่งกำเนิด’ ในคาซัคสถาน หลังพบการระบาดและมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าโควิด-19 เกิดเหตุ “โรคปอดบวมที่ยังไม่ทราบที่มา” ระบาดหนักในประเทศคาซัคสถาน ทำให้สถานทูตจีนฯ ต้องออกแถลงการณ์เตือนชาวจีนที่อาศัยในประเทศคาซัคสถานและใกล้เคียงให้ระวังเชื้อไวรัสนี้

สถานทูตจีนฯ ระบุว่า ‘โรคปอดบวมที่ยังไม่ทราบที่มา’ นี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตในคาซัคสถานแล้ว 1,772 คน ในช่วงครึ่งปีแรก และมีถึง 628 คน เฉพาะในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าโควิด-19 มาก

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขของคาซัคสถานกำลังศึกษาเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคปอดบวมนี้แต่ยังไม่ระบุชื่อ และยังไม่พบข้อบ่งชี้ว่า ‘โรคปอดบวมที่ยังไม่ทราบที่มา’ นี้เกี่ยวข้องกับโควิด-19 หรือไม่

อย่างไรก็ตาม จีนได้เตือนให้พลเมืองชาวจีนในคาซัคสถานและเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ที่เป็นพรมแดนติดกับคาซัคสถาน ดังนี้

1. ให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากรัฐบาลคาซัคสถานและสถานทูตหรือสถานกงสุลจีนในคาซัคสถาน อย่างใกล้ชิด

2. ลดการออกการทำกิจกรรมกลางแจ้งและหลีกเลี่ยงสถานที่ที่แออัด ป้องกันเชื้อโดยการใส่หน้ากากอนามันและหมั่นล้างมือให้สะอาดหลังทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือออกไปข้างนอก

3. หากมีอาการน่าสงสัย ให้รีบไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจทันที พร้อมขอความร่วมมือให้ประวัติการเดินทางและบุคคลที่สามารถติดต่อได้อย่างถูกต้อง

ในส่วนของเว็บไซต์หนึ่ง ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่ทางจีนเรียกโรคนี้ว่า ‘โรคปอดบวมที่ยังไม่ทราบที่มา’ ในขณะที่ประกาศจากคาซัคสถานกล่าวเพียงแค่ ‘โรคปอดบวม’

ทั้งนี้ สำนักข่าวแคซอินฟอร์ม (kazinform) รายงาน ปัจจุบันคาซัคสถานมียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 53,021 คน ผู้เสียชีวิต 264 คน และรักษาหายแล้ว 34,931 คน และจากคำพูดของประธานาธิบดีคาซัลสถานกล่าวถึงสถานการณ์ตอนนี้ว่า

“จริง ๆ แล้ว เรากำลังเผชิญกับไวรัสโคโรนาระลอกสอง พร้อมกับผู้ป่วยปอดบวมที่เพิ่มสูงขึ้น”

Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่า